ปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีแห่งความผันผวนสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย จากปัจจัยท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังคงเปราะบาง คำถามสำคัญคือ แล้วปี 2568 ล่ะ? ทิศทางของตลาดอสังหาฯ จะเป็นอย่างไร? ฟื้นตัวจริง หรือยังคงต้องเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่?
ในส่วนของการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2568 คาดว่าจะมีความระมัดระวังมากขึ้นจากผู้ประกอบการ โดยจะเน้นไปที่การพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง และหลีกเลี่ยงการเปิดตัวโครงการที่มีลักษณะ “Mass Market” มากเกินไป
Land & Houses : แผนการดำเนินงานปี 2568 เตรียม เปิดตัว 4 โครงการใหม่ระดับกลาง–บน
- เนื่องจาก บริษัทฯ ยังมีสินค้าคงเหลือขายในระดับที่เพียงพอ ในปี 2568 บริษัทฯ จึงมีแผนเปิดโครงการใหม่เพียง 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท ลดลง 64% เมื่อเทียบกับปีก่อน โครงการใหม่ในปีนี้ทั้งหมดจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 3 โครงการ และภูเก็ต 1 โครงการ โดยจะเป็นโครงการภายใต้แบรนด์บ้านเดี่ยวในระดับราคา 8 – 15 ล้านบาท คือ Siwalee และแบรนด์บ้านเดี่ยวในระดับราคา 30 – 80 ล้านบาท คือ Nantawan และ VIVE ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสินค้าในระดับกลาง-บน หรือทดแทนโครงการที่ขายหมดในปีที่ผ่านมา
- ดังนั้น เมื่อรวมกับโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2568จะมีทั้งหมด 75 โครงการ มูลค่าประมาณ 93,000 ล้านบาท
โดยเป็นสินค้าแนวราบ 69 โครงการ มูลค่าประมาณ 79,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ากว่า 13,500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในปี 2568 ประมาณ 5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 9.8 ล้านบาทในปีก่อน
แผนธุรกิจปี 68 ภายใต้แนวคิด Dynamic Growth เติบโตแข็งแกร่ง ด้วยการวางแผนเปิดตัว 29 โครงการใหม่ มูลค่า 52,000 ล้านบาท (แนวราบ 14 โครงการ และคอนโดมิเนียม 15 โครงการ) ตั้งเป้าหมายยอดขาย 53,000 ล้านบาท เป้าหมายยอดโอน 46,000 ล้านบาท”
แผนแนวราบเดินหน้าเปิดตัว 14 โครงการ มูลค่า 31,600 ล้านบาท ครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี ที่แสนสิริบุกตลาดพรีเมี่ยมและมีเดียมครอบคลุมทุกทำเลมากที่สุด ไฮไลต์ คือ บ้านเดี่ยวแบรนด์ “นาราสิริ” 3 โครงการใหม่ ครอบคลุมมุมเมืองรอบกรุงเทพฯ อาทิ นาราสิริ บางนา กม.10 ราคาเริ่ม 60-150 ล้านบาท อยู่ใน SANSIRI 10 EAST ลักซ์ชัวรีคอมมูนิตี้ใหม่ในย่านบางนา (พรีเซลมีนาคมนี้) ถัดมา “DEMI” (เดมี) ลักซ์ชัวรี เรสซิเดนท์แนวคิดใหม่ หลังประสบความสำเร็จจากโครงการแรก เดมี สาธุ 49 ตอกย้ำผู้นำตลาดอสังหาฯ ลักซ์ชัวรีไทย กับ เดมี พระราม 9 เหม่งจ๋าย ราคาเริ่ม 27.9 ล้านบาท (พรีเซลไตรมาส 2) และการกลับมาของ แบรนด์ “บุราสิริ” หลังจากลูกค้ารอคอยมานาน กับบุราสิริ จตุโชติ ราคา 13.5-25 ล้านบาท(พรีเซลไตรมาส 3) อยู่ในจตุโชติ คอมมูนิตี้ ขนาดกว่า 184 ไร่ และครั้งแรกกับเศรษฐสิริ เกาะแก้ว (ภูเก็ต) ราคา 12-20 ล้านบาท (พรีเซลไตรมาส 3)
Supalai
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มีแผนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปีนี้จะมีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวนเกือบ 300 โครงการ ทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบัน ศุภาลัยได้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียไปแล้ว 24 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 185,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนของศุภาลัยจำนวน 22,300 ล้านบาท โดยยอดขายในปี 2567 มีการเติบโตสูงถึง 49% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 สำหรับปี 2568 คาดว่ายอดขายในออสเตรเลียจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นถึง 100% ทำให้มีความสำคัญต่อการขยายฐานรายได้ของบริษัท
สำหรับแผนงานปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ 32,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ที่ 30,000 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 36 โครงการ ซึ่งแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่ารวม 46,000 ล้านบาท ในปีนี้จะมีการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ในหลากหลายด้าน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและปรับตัวในการทำการตลาดให้โดนใจลูกค้า เพื่อการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง

ในส่วนของการลงทุนในประเทศ บริษัทได้ตั้งงบประมาณ 8,000 ล้านบาทเพื่อจัดซื้อที่ดินใหม่สำหรับการพัฒนาโครงการในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ซึ่งครอบคลุมถึง 30 จังหวัด รวมถึงจังหวัดใหม่อย่างลพบุรี สุพรรณบุรี และพื้นที่เศรษฐกิจในภาคใต้ เช่น เกาะสมุย นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาบ้านและคอนโดมิเนียม รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ แบบบ้านใหม่ และการพัฒนาคุณภาพสินค้า รวมถึงนวัตกรรมที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การบริการและการส่งมอบบ้านที่ดีที่สุดให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
• เป้าหมายยอดขาย 26,000 ล้านบาท (+4% YoY) และ รายได้รวมจากทุกกลุ่มธุรกิจ 25,000 ล้านบาท(+11% YoY) ลงทุนต่อเนื่องด้วยงบลงทุน 7,000 ล้านบาท ในธุรกิจหลากหลาย รักษาตำแหน่งผู้นำบ้านเดี่ยว เพิ่มส่วนแบ่งตลาดคอนโด และสัดส่วนกำไรจากอสังหาฯ รายได้ประจำสม่ำเสมอ
Engine1 อสังหาฯ ที่อยู่อาศัย ปี 2025 จะมีจำนวนโครงการทั้งหมด 96 โครงการ มูลค่ารวม 94,500 ล้านบาท เป็นโครงการใหม่ 15 โครงการ 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
• แนวราบ 12 โครงการ 18,000 ล้านบาท ไฮไลต์คือแบรนด์ใหม่ SONLE บ้านเดี่ยวสไตล์ Sophisticated Modern Tropical ราคาเริ่มต้น 200 ล้านบาท และ บ้านเดี่ยวซีรีส์ใหม่ 2025 จากแบรนด์ Bangkok Boulevard
• คอนโด 3 โครงการ 10,000 ล้านบาท ครบเซกเมนต์ ภายใต้แบรนด์ Reference และ COBE ต่อยอดความสำเร็จคอนโด SC สะท้อนจากยอดขาย Reference เอกมัย ที่สร้างยอดขายได้ถึง 80% ในช่วงแรกของการเปิดตัว และจะมีแบรนด์ใหม่เปิดตัวปลายปี ทำเลติดถนนสุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้าพร้อมพงษ์
Engine 2 อสังหาฯ รายได้ประจำ ณ ปลายปี 2025 จะมีจำนวนโครงการรวมทั้งหมด 19 โครงการ จาก 4 ธุรกิจ ได้แก่ โรงแรมรวม 545 ห้อง, คลังสินค้าให้เช่ารวม 200,000 ตารางเมตร, อาคารสำนักงาน 120,000 ตารางเมตร และอพาร์ตเมนต์เพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา 5 อาคาร
โดยมีไฮไลต์ คือ โรงแรมใหม่ 2 ทำเล เปิดตัวไตรมาส 2/2015 คือ KROMO, Curio Collection by Hilton ทำเลติดถนนสุขุมวิท ตรงข้ามห้าง EmSphere และ The Standard หนึ่งเดียวในพัทยา ติดหาดนาจอมเทียน และคลังสินค้าเพื่อเช่า 3 โครงการใหม่ ในทำเล บางนา กม. 20, แหลมฉบัง และ นิคมอมตะ ชลบุรี
แอสเซทไวส์ยังคงเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง โดยปี 2567 ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 25,920 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 9 โครงการ และ แนวราบ 3 โครงการ พร้อมตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 17,800 ล้านบาท เติบโตประมาณ 8% จากปี 2566 และเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 8,700 ล้านบาท
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย: พลิกโฉมการพัฒนาที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ให้กับลูกค้า ทั้งดีไซน์และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ เสริมด้วยบริการหลังการขายสุดแกร่งที่ดูแลลูกค้าตั้งแต่วันแรกทั้งก่อนและหลังเข้าอยู่ โดยมีแผนเปิด 6 โครงการใหม่ในกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา และขอนแก่น รวมมูลค่า 9,803 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับลักชัวรีและระดับบน 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์ The Grand, Grandio และแบรนด์ใหม่ Gramour พร้อมด้วยทาวน์โฮมพรีเมียม 1 โครงการในแบรนด์ใหม่ Goldina และคอนโดมิเนียมแบรนด์ KLOS อีก 1 โครงการ ขณะเดียวกัน เดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นด้วยการจัดโรดโชว์ที่ประเทศจีน เจาะกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อโครงการคอนโดมิเนียม
ในปี 2568 ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มีแผนเปิดโครงการใหม่ 6-8 โครงการ มูลค่ารวม 4,000-5,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 5,000 ล้านบาทและรับรู้รายได้ 4,050 ล้านบาท
-ไม่ได้เปิดโครงการใหม่ เน้นระบาย RTM วางเป้ายอดขาย 2,500 ลบ.
-แต่มีวางงบที่จะซื้อที่ดิน 4 โครงการ มูลค่ารวม 2,395 ล้านบาท (ปี 2567 ตั้งเป้าไว้ 2,000 ลบ. แต่สรุปคือไม่ได้ซื้อเลย) และวางแผนที่จะ Take Over โครงการคอนโด low rise มูลค่า 503 ลบ.
-Brand Condo ที่จะ Focus ต่อจากนี้จะเป็น Chewathai Hallmark ราคาไม่เกิน 60,000-90,000/ ตร.ม.
PRUKSA (PSH)
สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2568 เอ็น.ซี ตั้งเป้าการสร้างมูลค่าเพิ่มสู่ทุกครอบครัวที่กำลังมองหาบ้านเพื่อมาตอบโจทย์ นวัตกรรมที่อยู่อาศัยเทรนด์ใหม่ ปี2568 ชู Green & Well Living ทุกโครงการแบรนด์ เอ็น.ซี ดึงคอนเซ็ปต์ GAIA (ไกอา ความสมดุลของธรรมชาติ เป็นศูนย์กลางมุมพักผ่อนเชื่อมธรรมชาติได้อย่างมีมิติ ) มุมพื้นที่เพิ่มขีดความสุข เปิดรับธรรมชาติสู่ความสมดุลของการอยู่อาศัย บนพื้นที่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ที่ไร้ขีดจำกัด ควบคู่การดูแลสุขภาพกาย และใจ เอ็น.ซี พร้อมเนรมิต พื้นที่ทวีความสุข ร่วมเป็นอีกหนึ่งพลังสร้างแรงบันดาลใจ ให้ทุกครอบครัว ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทาวน์เฮ้าส์, บ้านแฝด, บ้านเดี่ยว ด้วยระดับราคาสัดส่วนที่มากขึ้น 3-7 ล้านบาท ผนวกกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีสินค้าคงเหลือขายในระดับที่เพียงพอ ในปี 2568 และเพื่อรองรับการเปิดโครงการใหม่เพิ่ม อีก 5 โครงการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อรวมกับโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2568 จะมีทั้งหมด 19 โครงการ มูลค่ากว่า 15,500 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ เอ็น.ซี ให้ความสำคัญความเป็นบ้านที่เชื่อมโยงด้านสิ่งแวดล้อม และห่วงใยดูแลสุขภาพ
สำหรับปี 2568 บริษัทเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ 12 โครงการ แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการ และโครงการแนวราบ 1 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท โดยยังคงเน้นตลาด Affordable Segment ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสนาครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 20% หรือมากกว่า 20,000 ยูนิต ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 15,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมสัดส่วนรายได้จากโครงการ LivNex เช่าออมบ้าน
Origin
AP Thailand